ยามที่เราอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า
อะไรก็ไม่เศร้าเท่ากับคนข้างกายเรากลายเป็นคนแปลกหน้าไปด้วย
Nov12, 2011
Author: inanza
ล็อตเตอรี่ใบแรกในชีวิต
ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะซื้อล็อตเตอรี่ เป็นคนที่ด้อยความสามารถในการคำนวณเรื่องหวย เรื่องไพ่ อะไรเทือกนี้ คือเล่นไม่เป็นทั้งหวยทั้งไพ่ทั้งแทงบอล ไม่ใช่ไม่อยากเล่นนะแต่พยายามแล้วมันไม่เข้าใจ และคิดว่าตัวเองไม่มีโชคกับรางวัลที่มีมูลค่าหรอก นอกจากเล่นเกมได้ตั๋วหนังฟรีไปวันๆ =P
อยู่มาวันหนึ่งบนโต๊ะอาหาร นั่งกันสามคน พี่สองคนซื้อกันคนละใบ เรามองกราดๆ ไปโดยไม่ตั้งใจ เจอเลขที่รู้สึกชอบ (ปกติเลขที่เราชอบมักเป็นเลขที่เฉพาะเจาะจงและไม่น่าถูกรางวัลได้) ตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายที่คนขายกำลังจะเดินจากไปว่าขอซื้อใบนึง (เขาเรียกว่าหนึ่งคู่หรือเปล่านะ) นั่นแหละจึงได้ใบนี้มา ราคาหนึ่งร้อยบาทถ้วน
ไม่ได้หวังเป็นจริงเป็นจังเรื่องรางวัล แต่การซื้อครั้งนี้น่าจะทำให้คนขายมีรายได้เพิ่มขึ้น (ไหม?) ไม่รู้ระบบปันผลของคนขายล็อตเตอรี่แฮะ
ป.ล. เพิ่งสังเกตว่าข้อความ รูปภาพ ตัวเลข ฯลฯ ทั้งหลายมีรายละเอียดเยอะมาก ส่วนหนึ่งน่าจะเพื่อป้องกันการปลอมแปลง แต่มันทำให้เรา (ผู้คลั่งไคล้การอ่านอะไรสักอย่างในส้วม) เพลินกับการอ่านโน่นนี่บนล็อตเตอรี่มากๆ สงสัยอยู่อย่างว่าสัญลักษณ์เล็กๆ คล้ายไอคอนรูปต่างๆ 4 รูปกลางใบทั้งบนและล่างนั่นมีนัยสำคัญอะไรหรือเปล่า
ซื้อมือถือใหม่เมื่อหลายเดือนก่อนด้วยไม่อาจต้านทานความอยากของตัวเองและแรงดึงดูดของโปรโมชั่นลดราคา
มือถือใหม่มาพร้อมซองหนังและฟิล์มกันรอย
ใช้มือถือที่แปะฟิล์มกันรอยและใส่ซองหนังทุกครั้งที่พกไปไหนมาไหน
ความซับซ้อนประการแรก: กระวนกระวายทุกทีที่ฟิล์มกันรอยเป็นรอย ไม่อยากให้ฟิล์มกันรอยเป็นรอยทั้งที่รู้ว่ามันมีไว้กันรอยมันย่อมต้องเป็นรอยได้อยู่แล้ว
อยู่มาวันหนึ่งมีรอยกาวยาวสองเซ็นติเมตรนิดๆ ติดอยู่ข้างมือถือ
สืบสาวไปมาได้ความว่าด้านในซองหนังฝั่งหนึ่งเป็นรอยปริ กาวหลุด ด้วยเหตุใดไม่ทราบ (ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความร้อนของมือถือ)
เราไม่ชอบให้โทรศัพท์เป็นรอย และเริ่มรู้สึกขี้เกียจชักเข้าชักออก (หมายถึงดึงมือถือออกจากซองหนัง) จึงเริ่มคิดถึงการซื้อเคสครอบมือถือ
ไม่นาน เคสครอบมือถือยี่ห้อดัง (เหรอ) ก็มาอยู่ในมือ
เราปลดประจำการซองหนังสีดำ แต่งตั้งเคสครอบมือถือยี่ห้อดังให้ปฏิบัติหน้าที่แทนทันที
วันนี้
เอามือถือใส่เป้มาทำงาน
หยิบออกมาพบว่าเคสครอบมือถือนั้นมีรอยขีดข่วน ลบด้วยการเอานิ้วถูไถไปมาอย่างไรก็ไม่ออก
ความเครียดบังเกิด -_-”
ความซับซ้อนประการที่สอง: เริ่มคิดถึงซองหนังขนาดใหญ่กว่าเดิมที่บรรจุมือถือพร้อมเคสครอบมือถือได้ด้วย (แล้วมึงจะซื้อเคสมาทำไมคะ!)
นึกย้อนไป
เหมือนที่เราเคยสงสัยในใจว่าทำไมแม่ไม่แกะพลาสติกหุ้มโซฟาออก เจอกับตัวเองถึงรู้ (ว่าหนูก็เป็น -_-)
.
.
.
ป.ล.
สุขสันต์วันเกิดน้องเดือน ขอให้เฟซบล็อกจงเจริญ 🙂
ถ้าความผิดพลาดมีไว้เป็นบทเรียนและบทเรียนมีไว้เปิดกะโหลก
คำนวณตามหลักสมการ ความผิดพลาดจึงมีไว้เปิดกะโหลก
…
อดีตก็คืออดีต
อดีตไม่เคยหายไป
อดีตที่อยู่ในใจ อยู่ในหัว บางทีก็มีผลต่อปัจจุบัน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วล้วนส่งผลอย่างมีนัยยะ ทั้งนัยยะสำคัญและนัยยะไม่สำคัญ
แต่ทั้งหมดนั้นดูจะสัมพันธ์กัน
อดีตที่ไม่ดีของเรา
เราคิดถึงมันในสองแบบ
แบบแรก คิดแล้วจม คิดทับถมตัวเอง คิดแล้วอับเฉาเศร้าสร้อย เป็นแบบนี้บ่อยๆ คงมืดมนทุกวี่วัน
แบบสอง คิดแล้วจม คิดทับถมตัวเอง คิดแล้วอับเฉาเศร้าสร้อย แต่อย่างน้อยก็รู้ตัวว่าทำพลาด รู้ว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรแล้วใส่ใจกับปัจจุบันมากขึ้น
แน่นอนว่าสำหรับเราแบบแรกทำง่ายกว่าแบบสอง ปล่อยให้อดีตหลอกหลอน ปิดประตูใส่กลอนกินนอนอยู่กับเรื่องแย่ๆ ง่ายกว่าการที่ต้องมานั่งคิดทบทวนฝึกฝนทำการบ้านกินบทเรียนเป็นอาหาร …แต่มันจะเกิดประโยชน์อะไรถ้าเรามัวอาศัยอยู่แต่ในความมืด ถอนหายใจไปวันๆ
‘จงเปิดกะโหลก’
…
ป.ล.
– ทั้งหมดมาจากความคิดความรู้สึกชั่วขณะ เราและชาววายไอวายเรียกมันว่าปิ๊งแว้บ
– ทั้งหมดมาจากประสบการณ์ตรงของชีวิตเรา จึงไม่อาจเทียบเท่ากับชีวิตคนอื่นคนใด อาจมีความเห็นต่าง ความเห็นคล้าย เหตุการณ์คล้ายคลึงหรือแตกต่างจากนี้ได้ สิ่งที่เราพิมพ์ไว้ไม่ใช่สัจพจน์เด้อ
– ด้วยความสัตย์จริง ขณะที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ความเศร้าก็ยังไม่ไปไหน
ขอบคุณ @นางฟ้าintegrity @kritaya @kittykae @พี่ศรีศักดิ์ ส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจในข้อความ
สถานการณ์ที่ต้องทบทวน
ช่วงนี้ทำงานประสานงานมากกว่าส่วนอื่นๆ
มีกรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วส่งผลต่อความรู้สึกและทำให้สงสัยในตัวเองมากๆ ว่าเราทำงานได้แย่ลงอีกหรือเปล่า
อีกฝั่งความคิด ฝ่ายปกป้องตัวเองส่งเสียงออกมาว่าเราทำตามหน้าที่ ทำสิ่งที่สมควร ไม่เป็นไร..
สถานการณ์เป็นเช่นนี้
(บทสนทนานี้ใกล้เคียงความจริงที่สุดเท่าที่เราจะนึกย้อนไปได้ และได้เปลี่ยนชื่อ/ตัดทอนรายละเอียดบางส่วนเพื่อสงวนสิทธิ์ของบุคคลที่สาม)
พุธ 24 พ.ย.
- 1 สวัสดีค่ะพี่ไก่ แนนจากเครือข่ายเอบีซี จะติดต่อขอเชิญพี่น้อยร่วมงานวันนั้นวันนี้ ไม่ทราบว่าสะดวกไหม ในวันนั้นวันนี้พี่น้อยพอจะมีคิวว่างไหมคะ
- 2 ตอนนี้พี่อยู่บนรถและกำลังจะไปทำงานที่ต่างจังหวัด ยังไม่สามารถเช็กคิวของพี่น้อยให้ได้ น้องส่งอีเมลรายละเอียดมาที่เอ้กอีเอ้กเอ้กแอทจีเมลนะคะ เดี๋ยวพี่เช็กให้แล้วขออนุญาตติดต่อกลับเองวันจันทร์
- 1 ได้ค่ะพี่ ขอบคุณมากนะคะ สวัสดีค่ะ
จันทร์ 29 พ.ย.
- 1 สวัสดีค่ะพี่ไก่ แนนจากเครือข่ายเอบีซีที่โทรหาพี่ครั้งที่แล้ว จะรบกวนขอเช็กคิวพี่น้อยตามอีเมลที่ได้ส่งไปน่ะค่ะ
- 2 พี่ยังไม่สะดวก ขอติดต่อกลับเองนะคะ
- 1 ได้ค่ะพี่ ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ
เสาร์ 4 ธ.ค.
- 1 สวัสดีค่ะพี่ไก่ แนนจากเครือข่ายเอบีซีค่ะ จะรบกวนสอบถามเรื่องคิวพี่…
- 2 น้องคะ พี่แจ้งน้องไปแล้วว่าจะขอติดต่อกลับเอง ถ้าน้องรีบมากพี่ว่าน้องตัดคิวนี้ทิ้งไปเลยก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องรีรอ
- 1ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะพี่ คือจากที่พี่บอกว่าจะติดต่อกลับแต่หนูไม่แน่ใจว่าพี่อาจจะลืมหรือเปล่าก็เลยลองโทรถามน่ะค่ะ
- 2 คืออย่างนี้นะคะ พี่แจ้งน้องไปแล้วว่าพี่ทำงานอยู่ต่างจังหวัดไม่สะดวกเช็กให้ จะเช็กได้อีกทีก็หลังจากเสร็จงานกลางเดือนธันวาคม
- 1 งานที่หนูจะเชิญพี่น้อยเข้าร่วมจะจัดวันที่ 11 ธันวาคม ตามที่ได้แจ้งพี่ไปแล้วและเอกสารในอีเมลค่ะ
- 2 ถ้าอย่างนั้นพี่ขอปฏิเสธเลยก็แล้วกันนะคะ ยังไงก็ไม่ทันแน่นอน ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันน้องจะได้ไม่ต้องรอ
- 1 ค่ะพี่ ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
ไม่ได้มีความมุ่งหมายจะกล่าวโทษแก่ใคร
เพียงพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทบทวนตัวเองและทำความเข้าใจสถานการณ์
อยากจะตอบตัวเองให้ได้ว่าเราทำสิ่งที่จำเป็นต่องาน และได้รับผิดชอบส่วนของเราแล้ว
ถ้าจะยืนยันว่าเราไม่ได้ทำผิดอะไรในกรณีนี้
จะเป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไปไหม..
อย่างไรก็ตามต้องขอโทษพี่ไก่จริงๆ หากแนนทำอะไรผิดขั้นตอนไปจนทำให้รู้สึกขัดใจหรือรู้สึกไม่ดีจากการประสานงานที่ผ่านมา ขอโทษนะคะพี่
—
เพิ่มเติม
ไหนๆ ก็ยกตัวอย่างสถานการณ์แล้ว ลองถอดบทเรียนกรณีนี้ดูเผื่อจะเป็นประโยชน์กับการทำงานต่อ
(จุดแข็ง) สิ่งที่คิดว่าทำได้ดี
- การโทรติดตามงานแบบไม่ถี่ยิบเกินไป (เว้นช่วงโทรหาอีกฝ่าย ห่างกันครั้งละประมาณ 5 วัน)
- การส่งอีเมลตามข้อตกลงที่คุยไว้ (วางสายในครั้งแรกแล้ว ส่งเมลให้ในอีก 15 นาที)
- การโทรติดตามงานในช่วงเวลาที่ตกลงกัน (เช่น อีกฝ่ายจะติดต่อกลับวันจันทร์ พอถึงวันจันทร์บ่ายถ้าอีกฝ่ายยังไม่โทรมาเราก็เป็นฝ่ายโทรไปหาเอง –กรณีนี้ก้ำกึ่งระหว่างข้อดีกับข้อเสีย แต่ตัดสินใจให้เป็นข้อดี เพราะมันแสดงถึงว่าเรายังจำข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายให้แก่กันได้)
(จุดอ่อน) ถ้าทำงานเดิมกับคนเดิมในสถานการณ์เดิมอีกครั้ง คิดว่าน่าจะปรับเปลี่ยนอะไร
- หลังจากส่งอีเมลไปแล้ว ส่ง sms ไปแจ้งอีกฝ่ายด้วย เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่เขาว่าเราตั้งใจติดต่องานครั้งนี้จริงๆ (โดยใช้ข้อความแบบร่าเริงเป็นมิตร ไม่เร่งรัดจะเอาคำตอบ ไม่ดูเป็นการสั่งงาน ให้น้ำเสียงเป็นการขอความช่วยเหลือและขอบคุณด้วยใจจริง)
- ก่อนโทรติดตามงานในช่วงเวลาที่ตกลงกัน ส่ง sms ไปสอบถามก่อนว่าสะดวกไหม หรือเป็นอย่างไรบ้าง (เพื่อให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกว่าเรากำลังหักหน้า หรือถูกรุกเร้าทวงงาน –ซึ่งเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำเพื่อการนี้อยู่แล้ว)
ไม่รู้ว่าการใช้ sms จะช่วยให้บรรยากาศการติดต่องานดีขึ้นหรือกลายเป็นเพิ่มความรำคาญ
แต่ทบทวนเร็วๆ คิดว่าน่าจะเหมาะสมที่สุด อย่างน้อยก็คงเหมาะกว่าการโทรตามในสถานการณ์นี้
หากใครบังเอิญได้อ่านโพสต์นี้และมีข้อแนะนำก็ยินดีนะ =)
