ถ้าการเดินจากมาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
ความทรมานเป็นเรื่องสมควรแล้ว
เราคิดว่างั้น
.
.
– กตนพจ = กระต่ายในพระจันทร์ = rabbit moon –
5 พฤษภาคม 2552
บ่ายโมงกว่า
อากาศร้อนได้ที่
เรากับพี่เก๋คุยงานเสร็จ เดินออกจากซอยอารี
หาซื้อขนมจุกจิก เตรียมตัวกลับออฟฟิศไปประชุมอีกนัด
พี่เก๋เดินนำไปจนใกล้ถึงป้ายรถเมล์
ช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ ในวันธรรมดาแบบนี้
ริมถนนแถวซอยอารียังมีคนเดินไปมาไม่ขาด
เราเดินช้าๆ งงๆ สติเหลือน้อยเต็มที
ทั้งที่เพิ่งผ่านมาครึ่งวัน
พลันสายตาสะดุดที่ผู้ชายคนหนึ่ง
หน้าตาเข้ม คม น่ารักใช้ได้
อายุน่าจะไล่เลี่ยกับเรา –ยี่สิบต้นๆ
เขายืนอยู่ที่ตีนสะพานรถไฟฟ้า
สายตากระวนกระวาย เหมือนคอยใครอยู่
…
คงจะเหมือนกับคนอื่นที่เดินผ่านมา
–แล้วก็ผ่านไป ไม่ได้เจอกันอีก
เรากำลังจะเดินผ่านเขาไปเช่นกัน…
…
คนที่เดินผ่าน
[kml_flashembed movie=”http://media.imeem.com/m/886Qfr8LZL/aus=false/” width=”315″ height=”80″ wmode=”transparent” /]
เธอคือคนๆ นั้นที่เคยเดินผ่าน
เมื่อวันวานฉันยังจำได้ ยังไม่จาง จากหัวใจเธอคือคนๆ นี้ที่ฉันเฝ้าดู
และอยากรู้ว่าเธออยู่แห่งไหน จะไปหาเธอพยายามตั้งใจ อยากบอกให้เธอได้รู้ ว่าเฝ้าดูอยู่นานแล้ว
โอ้… เธอ ที่ทำให้ฉัน ต้องทนอ่อนไหว
อยากจะรู้… ว่าถ้ามีสักวันที่เราจะได้พบ จะเข้าไปทักเธอ
จะยอมพูดคุยหรือไม่ อยากบอกความจริงของใจ
ของคนๆ นี้ (ว่าฉันนั้นแอบรักเธอ)
…
แต่แล้วก็ต้องสะดุด
ร่างกายเราหยุดเคลื่อนไหวชั่วครู่
เมื่อหนุ่มคนนั้นหันมาสบตา
กระดาษบางๆ สีชมพู ถูกยื่นมาตรงหน้า
…
ที่แท้เค้าก็มายืนแจกใบปลิวนี่เอง
…
“พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” ? ? ?
สามคำ เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ปรากฏบนกระดาษแผ่นนั้น
ไม่สิ มันไม่ใช่กระดาษ
มันคือซองจดหมาย!
ไม่ทันได้เอ่ยอะไร
หนุ่มคนนั้นเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ปะปนกับผู้คนริมถนน
ไม่กี่วินาทีก็ลับหายไปจากสายตาเรา
ประหนึ่งกำลังเล่นมิวสิกวีดีโอที่ฝ่ายหญิงถูกบอกเลิก
มองตามฝ่ายชายตาละห้อยด้วยความเศร้าสร้อย
ฝ่ายชายก็ไม่แยแส กลัวตัวเองจะใจอ่อนต้องรีบร้อนเดินฝ่าฝูงชนออกไป
ดีนะที่ ณ จุดนั้นฝนไม่ตก!
หันกลับมามองมือตัวเอง
– ซองสีชมพูแบบที่ใช้ใส่เงินทำบุญงานบวช
– พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
จดหมายลูกโซ่!
เราคือผู้ถูกเลือก!
ทำไมล่ะ?
เพราะเราหน้าเบลอ ดูเซ่อ งงงวย
เพราะเราแอบมองเค้าแว่บนึง
ฯลฯ
…
ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้
แต่ตกใจ
รู้สึกกลัว สติกระเจิงไปชั่วขณะ
แบบนี้เองคือความหวาดกลัวอย่างที่คนได้รับจดหมายรู้สึกกัน
เป็นช่วงชีวิตที่วุ่นวายและเจอแต่เรื่องประหลาด
ทำของหาย เจอเด็กชายใต้สะพาน แล้วยังจดหมายลูกโซ่อีก
ว่าแต่
ทำอย่างไรกับสิ่งที่อยู่ในมือตอนนี้ดี
.
.
.
.
.
.
.
.
นี่คือคำตอบ
.
.
.
.
เราคือผู้ถูกเลือก
.
.
ข้อความจากผู้หวังดี
.
.
ปล่อยให้สลายไปกับสายลม
# # #
สิ่งที่เรารู้สึกนึกคิดนอกจากกลัว ตกใจ งง
ผู้ชายคนนั้นยืนตรงสะพานนั้นมานานเท่าไหร่
1 นาที 5 นาที 15 นาที ครึ่งชั่วโมง หรือนานกว่านั้น
คนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมาจะผิดสังเกตไหม
จะรู้ไหมว่ามีคนร้อนใจคนนึงยืนรอความหวังอยู่
ที่เราว่าร้อนใจ
เพราะท่าทางเขากระวนกระวาย
ยังพอนึกได้ว่าสายตาตอนยื่นจดหมายมาให้
ทั้งสับสน และเหมือนภาวนาแกมบังคับไม่ให้เราปฏิเสธ
เอาเถอะ
ช่วงเวลานั้นแม้ชีวิตเราจะวุ่นวาย
แม้ในใจเราจะกำลังอ่อนแอ ไร้พลัง
แต่ถ้าในสภาวะที่เราแย่ เรายังพอช่วยคนอื่นได้
ก็นับเป็นสิ่งดี
ถึงคุณลูกโซ่:
หวังว่าตอนนี้คุณคงสบายดี
ไม่รู้ว่าคุณถ่ายสำเนาจดหมายมากี่ฉบับ
และส่งต่อให้คนอื่นได้สำเร็จไปกี่ฉบับ
ไม่รู้ว่าคุณหายกังวลใจแล้วหรือยัง
ถ้าบังเอิญคุณผ่านมาอ่านแถวนี้
ขอให้รู้เถอะว่า อะไรก็เปลี่ยนชีวิตเราไม่ได้
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลจากการกระทำของเรา
เมื่อเราเลือก สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น
ถ้าชีวิตเราจะแย่จากจดหมายลูกโซ่เพียงหนึ่งฉบับ
นั่นก็เพราะเราบอกตัวเอง ให้คิดแย่ รู้สึกแย่
และถ้าชีวิตเราจะดี ก็ไม่ได้เป็นเพราะเราส่งจดหมายลูกโซ่ครบตามกำหนด
เพราะเราเองต่างหากที่ตั้งใจใช้ชีวิต
ขอพลังจงอยู่กับคุณ (+ขอพลังกลับมาอยู่กับเราด้วยก็ดี ฮ่าๆ)
4 พฤษภาคม 2552
เวลาดึก
แฮปปี้แลนด์ บางกะปิ
ซื้อน้ำหนึ่งแก้ว
ขนมปังหนึ่งชิ้น
เดินข้ามสะพานลอย
เด็กน้อยกับกระป๋องเล็กๆ
นั่งรอเสียงกรุ๋งกริ๋งของเศษเหรียญอยู่ที่ตีนสะพาน
คงหิวน้ำ
ชี้มือมาที่เราแล้วพูดว่า
‘พี่ เอาอันนี้’
เราหยุดเดิน
ยืนงงแป๊บนึง
แต่เห็นสายตาใสๆ จ้องมาที่แก้วน้ำ
ก็เลยเข้าใจ
ส่งแก้วน้ำให้
ส่งขนมให้
น้องพนมมือไหว้เรา
เกี่ยวก้อยสัญญาว่าจะทิ้งขยะลงถัง
ไม่มั่นใจว่าเค้าจะทำ
แต่อย่างน้อยเค้าก็ได้รู้ว่าควรทำ
น้องได้กิน
เราอิ่ม
# # #
เรื่องนี้จะธรรมดามาก ถ้าวันนั้นที่เราเจอน้อง
ไม่มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นกับชีวิต
ทำของหาย
พยายามติดต่อหาสถานที่ที่จะไปหาของ
ไปหา –ไม่เจอ
เศร้าและเครียด เพราะนั่นคืองานเกือบครึ่งนึงของทั้งหมด
หมกมุ่นคิดแต่สิ่งแย่ๆ ที่น่าจะตามมา
แล้วน้องใต้สะพานก็มาหยุดเราไว้
วางเรื่องตัวกูของกู(หาย)ไว้ก่อน
มองรอบตัวบ้าง
สังคมนี้โลกนี้มีอะไรมากกว่าของที่หายไป
มากกว่าแค่สิ่งที่เหลืออยู่กับเรา
หยุดหมกมุ่นครุ่นคิด
ทำสิ่งอื่นนอกจาก เสียใจ บ้าง
ไม่ว่าด้วยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หรือจะด้วยอะไรก็ตาม
ขอบคุณน้องชายตัวน้อยคนนั้น
ขอบคุณผู้คนในสังคมนกกระจิบ #twitter
ช่วยเตือนสติในวันที่เราวุ่นวายใจอย่างที่สุด
บ่ายโมงกว่า / หก พฤษภา สองห้าห้าสอง
ที่สำนักงาน NCYD (นามสมมุติ)
ตัวเตี้ยนั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขก
กำลังรอเข้าประชุมงานกับพี่ๆ และเพื่อนในวงการ
ตัวโต (ทำงานอยู่ที่นี่) เดินผ่านมา
ตัวเตี้ย: สวัสดีค่า
ตัวโต: หวัดดีจ้ะ ทานข้าวยังเนี่ย
ตัวเตี้ย: ยังเลย พี่โตเลี้ยงไหมล่ะ
ตัวโต: เอ้า ถามจริง กินข้าวยัง
ตัวเตี้ย: ยังไม่ได้กินข้าวค่ะ…
ตัวโต: (ทำท่าจะไปหาอะไรให้น้องกิน)
ตัวเตี้ย: …กินแต่สปาเก็ตตี้
ตัวโต: พี่ไปทำงานก่อนนะ (-_-“)
ตัวเตี้ย: (ชนะ!)
ตัวโตเดินผ่านมาอีกรอบ
ตัวเตี้ย: พี่โตกางเกงสวยนะคะ ขอได้เปล่า
ตัวโต: ได้สิ
ตัวเตี้ย: ขอบคุณค่า ใจดีจัง (>_<)
ตัวโต: แต่เราคงต้องเอาไปตัดขาเยอะหน่อยนะ ..หึหึ
ตัวเตี้ย: ใจร้าย (T___T)
ตัวโต: (ชนะ!)
คะแนนรอบนี้
เสมอ 1:1
ปากซอยลาดพร้าว 26
มีตึก 2-3 ห้องตรงหัวมุมทางเข้า ได้ชื่อ (จากพวกเรากันเอง) ว่าทำเลยอดแย่ (อ่านว่า ทำ-เล-ยอด-แย่ นะ ไม่ใช่ ทำ-เลย-อด-แย่)
ประมาณ 2 ปีก่อนมีร้านตัดผมบุรุษ ปิดกิจการไปก่อนวัยอันควร
ตึกตรงนั้นร้างราผู้พักอาศัยอยู่พักใหญ่
แล้วก็มีโรงเรียนกวดวิชามาเปิด และปิดกิจการในเวลาอันสั้นเช่นกัน สงสัยว่า(ไม่)รวยแล้วเลิก
จากนั้น (ยังมีอีก?)
สถาบันอะไรซักอย่างเกี่ยวกับการเล่นโกะ มาจับจองเป็นเจ้าของ
มาเงียบๆ ติดป้ายใหญ่ๆ บอกเราไว้ และไปเงียบๆ
พวกเรา (วายไอวาย) เคยสันนิษฐานสาเหตุของความมาเร็วไปเร็วนี้ว่า
ไม่รู้แฮะ
ทั้งที่หัวมุมตรงนั้นติดป้ายรถเมล์
แถมเดินไปอีกไม่กี่สิบเมตรก็ถึงรถไฟใต้ดินสถานีลาดพร้าวแล้วแท้ๆ
เหตุผลเรื่องการเดินทางยากลำบากนั้นปัดตกไปได้
มีช่วงนึงเราเพ้อๆ คุยกันว่า
“หรือเราจะไปเช่าที่ตรงนั้นทำธุรกิจอะไรซักอย่างดี ระดมทุนหาเงินทำงานไง”
(ก่อนจะได้ระดมทุนหาเงินทำงาน ต้องระดมทุนหาเงินซื้อตึกอีก โว้ว!)
.
ตึกหัวมุมนั้นเว้นว่างจากเจ้าของอยู่อีกพักใหญ่
ซึ่งเราไม่แปลกใจกันอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่เพราะคิดสาเหตุออกหรืออะไร
แต่เบื่อจะคิด (ก่อนหน้านี้ทำไมไม่คิดได้แบบนี้วะ เสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ)
…
แต่สองสามวันที่ผ่านมา เหมือนจะมีใครมาจับจองเป็นเจ้าของตึก
เพราะมีแก๊งชายฉกรรจ์ล่ำบึ้กมาดูแล คล้ายจะปรับปรุงเพื่อกิจการใหม่อะไรซักอย่างของใครซักคน
ยังคิดในใจว่าจะรอดไหม ภาวนาให้มาดีไปดีก็แล้วกัน
…
แล้ววันนี้เราก็ได้รู้
พอเดินออกจากบ้านวายไอวายซอย21 (ตรงข้ามกับซอย26 –ที่ซึ่งเราเลือกจะจากมา)
เห็นแถบสีส้ม สีเขียว และเลขเจ็ด!

โอ้วววววว
มันคือ เจ็ดสิบเอ็ด
เซเว่นอีเลฟเว่น!
ดีใจกรี๊ดกร๊าด
ในที่สุดตึกตรงนั้นก็มีทางออกที่ดี
รู้สึกแถวนี้กำลังจะร่าเริงขึ้น
แต่…
เซเว่นมา แล้วร้านค้าคุณป้าที่อยู่ในซอยล่ะ
สมาชิกชาวหอพักข้างในคงไม่ทิ้งร้านคุณป้าให้เหงาเศร้าหรอกใช่ไหม
ร้านค้าคุณป้าอยู่ใกล้หอพักมากกว่าเซเว่นด้วย
ช่วงกลางวันน่าจะยังขายได้
ไว้ดึกๆ ชาวหอค่อยอุดหนุนเซเว่น
บลาบลาบลา…
.
.
.
.
.
เรื่องคงยังไม่จบแค่นี้
สีสันและแสงสว่างดึงดูดใจของร้านสะดวกซื้อคู่คนไทยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จะส่งผลถึงใครในซอยอย่างไรบ้าง ยังไม่มีคำตอบ
(แม้ในใจจะมีภาพบางอย่างลอยเข้ามา)
บางทีชีวิตคนในซอยน่าจะสนุกขึ้น
คุณป้าอาจจะมีแรงกระตุ้นมากขึ้นในการขายของ
อย่างเช่นคำนวณราคาให้ถูกลง จัดหน้าร้านใหม่ ยิ้มแย้มแจ่มใสกว่าเดิม ฯลฯ
แบบนี้ในโลกทุนนิยมเสรีเรียกว่าเป็นผลดีต่อผู้บริโภคใช่ไหม
เมื่อมีการแข่งขัน เจ้าของกิจการย่อมจะพยายามปรับหากลยุทธ์บางอย่างมาเอาใจให้ผู้บริโภคสนใจสินค้าและบริการของตน
…
ขออย่างนึง
อย่าให้คุณลุงคุณป้าต้องผันตัวเองจากผู้จำหน่ายสินค้าปลีกไปเป็นผู้บริโภคอย่างเดียวเลย
นั่นมันอาชีพหลักในการเลี้ยงปากท้องเชียวนะ…
คิดว่าพวกเราเองก็ต้องช่วยกัน
–ช่วยยังไง?
–อย่างง่ายๆ ก็ ช่วยอุดหนุนไง หรือช่วยแนะนำสินค้าที่คุณป้าน่าจะมีขายก็ได้ อย่าเทใจให้ธุรกิจ(เจ้าของ)ใหญ่ไปเสียหมด
.
.
.
ส่งพลังให้คุณลุงคุณป้าล่วงหน้า!
แม้เซเว่นมา ก็ขอให้คุณป้าอยู่ต่อไป
(พวกเขาจะรู้ไหมว่าไอ้ระบบนี้เราต้องสู้ ต้องไม่จำนน ฮึบๆ)